แชร์

คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ


บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ขอรายงานผลการดำเนินงาน โดยใช้ข้อมูลตามงบการเงินรวมซึ่งสอบทานแล้วจากผู้สอบบัญชี สำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ดังนี้

ผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวม สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566

บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 จำนวน 41.50 ล้านบาท เทียบกับผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อน มีขาดทุนสุทธิ 93.97 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นจำนวน 135.47 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. บริษัทมีรายได้รวม 150.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209.81 ล้านบาท

  • สาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย 110.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.50 ล้านบาท โดยหลักเพิ่มขึ้นมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกันจำนวน 80.60 ล้านบาท
  • กำไรจากเงินลงทุน 14.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.17 ล้านบาท โดยหลักเกิดจากในปีก่อน บริษัทฯมีผลขาดทุนจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นตลาดเอเชียและตลาดพัฒนาแล้ว เนื่องจากความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ปีนี้ บริษัทฯได้มีการปรับสัดส่วนการลงทุนโดยลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน รวมถึงการให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น เป็นผลทำให้มีจำนวนผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่ลดลงและมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น 
  • รายได้เงินปันผล 6.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.90 ล้านบาท โดยหลักมาจากรายได้เงินปันผลจากเงินลงทุนใน     ตราสารทุนในความต้องการของตลาดในประเทศ
  • สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 20.31 ล้านบาท จากการเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท
  • ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 9.19 ล้านบาท โดยหลักเกิดการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และลูกหนี้อื่นของบริษัทย่อย
  • ค่าใช้จ่ายอื่นจำนวน 40.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 12.92 ล้านบาท โดยหลักเพิ่มขึ้นจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ถาวรที่เพิ่มขึ้นจำนวน 15.64 ล้านบาท นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมวิชาชีพลดลงจำนวน 3.35 ล้านบาท
  • โดยหลักเกิดจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นในอัตราร้อยละ 49.71 ลดลง 27.05 ล้านบาทเนื่องจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 98.99  ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 41.99 อันเป็นผลมาจากมูลค่าการซื้อขายหุ้นสามัญเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 71,810.53 ล้านบาท/วัน เหลือ 46,423.03 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 35.35 รวมถึงการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากการทำธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดปกติของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน)

ผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวม สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566

บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 จำนวน 33.88 ล้านบาท เทียบกับผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อน มีขาดทุนสุทธิ 132.06 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นจำนวน 165.94 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. บริษัทมีรายได้รวม 217.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305.44 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจาก

  • รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 31.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.50 ล้านบาท โดยหลักมาจากการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย
  • รายได้ดอกเบี้ย 151.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98.61 ล้านบาท โดยหลักเพิ่มขึ้นมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกันจำนวน 87.50 ล้านบาท
  • กำไรจากเงินลงทุน 6.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 176.19 ล้านบาท โดยหลักเกิดจากในปีก่อน บริษัทฯมีผลขาดทุนจากการจำหน่ายและขาดทุนจากการตีราคาหน่วยลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นตลาดเอเชียและตลาดพัฒนาแล้ว เนื่องจากความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ปีนี้ บริษัทฯได้มีการปรับสัดส่วนการลงทุนโดยลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน รวมถึงการให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น เป็นผลทำให้มีจำนวนผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่ลดลงและมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น
  • รายได้เงินปันผล 18.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.57 ล้านบาท โดยหลักมาจากรายได้เงินปันผลจากเงินลงทุนในตราสารทุนในความต้องการของตลาดในประเทศ

2. ค่าใช้จ่ายรวม 225.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.62 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจาก

  • ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 43.68 ล้านบาท จากการเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท
  • ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 13.39 ล้านบาท โดยหลักเกิดการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และลูกหนี้อื่นของบริษัทย่อย
  • ค่าใช้จ่ายอื่นจำนวน 72.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 11.25 ล้านบาท โดยหลักเพิ่มขึ้นจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ถาวรที่เพิ่มขึ้นจำนวน 21.35 ล้านบาท นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมวิชาชีพและผลขาดทุนจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทย่อยลดลงจำนวน 5.19 ล้านบาท และ 4.31 ล้านบาท ตามลำดับ

3. บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 43.15 ล้านบาท ลดลง 63.38 ล้านบาท 

  • โดยหลักเกิดจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไร จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นในอัตราร้อยละ 49.71 ลดลง 67.16 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 217.67  ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 40.08 อันเป็นผลมาจากมูลค่าการซื้อขายหุ้นสามัญเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 80,447.60 ล้านบาท/วัน เหลือ 54,533.79 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 32.21 รวมถึงการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากการทำธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดปกติของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน)